แร็ปเปอร์

พื้นฐานการฝึกเป็นแร็ปเปอร์

โย่ว โย่ว ไม่ว่าช่วงนี้ใครๆก็คงจะอยากเป็น Rapper กันใช่ไหมล่ะ เพราะกระแสในบ้านเราช่วงนี้ก็นับได้ว่ามาเเรงแซงโค้งเลยทีเดียว และสำหรับใครที่ชื่นชอบการ Rap จนซึมเข้าถึงจิตวิญญาณก็คงจะ พูด เขียน อ่านเป็นภาษา Rap อย่างแน่นอน

Rap คืออะไร

Rap (แร็ป) คือการพูดที่ใส่จังหวะจะโครงลงไป ยิ่งมีคำที่เป็นเสียงสัมผัสกันด้วยก็จะยิ่งดีเพราะว่าจะทำให้การแร็ปนั้นมีความลื่นไหล น่าฟัง และจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการแร็ปก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของแนวเพลง Hip-Hop นั่นแหละค่ะ ไม่ต้องพยายามจับทั้ง 2 อย่างนี้แยกออกจากกันแต่อย่างใด เรียกได้ว่า Hip-Hop คือทำนอง Rap ก็เป็คำร้องที่ต้องสอดประสานรับกันนั่นเอง

คุณสมบัติสำคัญที่แร็ปเปอร์ควรมี

มันไม่สำคัญว่าต้องร้องเก่ง เพราะการร้องฝึกฝนได้ แต่เรื่องเขียนเพลงเก่งนั้นสำคัญ ต้องใช้เวลาและอยู่ที่พรสวรรค์ด้วย คือต้องแร็ปได้ และเขียนเนื้อเป็น ต้องฝึกฝนควบคู่กัน

การฝึกแรพ

  1. หาเนื้อเพลง
  2. ฟังท่อนแรพ สังเกตการรวบคำ (เช่น ‘นอ ออบชี’ แรพว่า ‘นอบชี’)
  3. ลดสปีดเพลงลงช้าๆ
  4. ลองแรพตาม และทำซ้ำๆจนกว่าจะแรพทัน
  5. เพิ่มความเร็วเพลงไปเรื่อยๆ แรพซ้ำๆ จนเพิ่มมาถึงความเร็วปกติ

วิธี/เทคนิคการแรพ

  1. ออกเสียงให้ชัดเจน ไม่งึมงำ
  2. พยายามควบคุมสำเนียง อย่าให้ไทยจ๋า จะแปลก
  3. อย่าแรพโมโนโทน ถ้าท่อนแรพไม่มีโน้ตเสียง ต้องมีน้ำหนัก ‘หนัก’ และ ‘เบา’ ของแต่ละคำ
  4. อย่ายืนแข็งทื่อ หน้าตาย ท่าทางคิดอะไรออกก็ทำ
  5. ในท่อนแรพจะมีช่วง Stop คือการตัดคำแบบตัดฉับ เช่น ‘ชอง ตอลรยอจี กอนนอวานา’ ช่วงสต๊อปจะเป็น ‘ชอง ตอลรยอ จิก กอนนอวานา’ จากข้อ 3. จะมีเทคนิคการฝึกอีกอย่างคือ ปริ้นท์/จดเนื้อเพลงออกมา ตั้งใจฟังในเพลง ว่าคำไหน พยางค์ไหนนักร้องลงเสียงหนัก แบบกระแทกๆ วงกลม คำ/พยางค์ นั้นเอาไว้

เพิ่มเติมเทคนิค

การสังเกตเอกลักษณ์การแรพของศิลปินต้นแบบก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีนึงนะ เช่น โฮยา INFINITE จะแรพแบบยานๆ ยงกุก B.A.P จะออกทางพวกคนผิวดำ คือหนืดและหนัก Zelo B.A.P จะออกลนๆ และเล่นช่องปากค่อนข้างเยอะ

คิดอย่างแร็ปเปอร์

บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินผู้คนบางกลุ่มตัดสินว่าการแร็ปนั้นไม่ต่างจากการบ่นเพ้อเจ้อไปงั้นๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว การแร็ปคือศิลปะในการสื่อสารข้อความที่มีความหมายอย่างคมคายด้วยถ้อยคำที่สัมผัสคล้องจองลงบนจังหวะเพลง ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการเป็นแร็ปเปอร์คือไอเดียที่ต้องการนำเสนอออกไป ซึ่งส่วนใหญ่มักมาจากทัศนคติ ประสบการณ์ชีวิต หรือจินตนาการในแบบที่เป็นตัวของตัวเองนี่แหละ

เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วว่าต้องการจะสื่ออะไรออกไป อีกหนึ่งความคิดของแร็ปเปอร์ที่ตามมาแบบอัตโนมัติ ก็คือวิธีการถ่ายทอดที่แน่นอนว่าต้องมีสำบัดสำนวนหรืออยากใส่จังหวะจะโคน ให้ต่างจากการพูดบอกเล่าเหมือนคุยกับเพื่อนธรรมดา ซึ่งถ้าใครเริ่มมีภาพในใจคร่าวๆ แบบนี้แล้วก็ถือว่าเริ่มมาถูกทางแล้ว

ฟังให้มาก

แม้การฟังเพลงที่มีท่อนแร็ป หรือเพลงแนวฮิปฮอป อาร์แอนด์บี จะเป็นสิ่งที่ชี้ชวนให้เรานึกอยากที่จะแร็ปมาตั้งแต่ต้น แต่นั่นยังไม่เพียงพอต่อการอัปสกิลให้เราเป็นแร็ปเปอร์ที่เก่งได้ เพราะการฟังเพลงเพื่อศึกษาดนตรี ทักษะการร้องของนักร้องแต่ละคน โดยไม่จำกัดอยู่แค่ดนตรีแนวนี้เท่านั้น จะทำให้เราเจอความแปลกใหม่ และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการแร็ปในสไตล์ที่เราชอบได้

ยกตัวอย่างเช่น การตั้งใจฟังบีท (Beat) หรือทำนองดนตรีเพื่อนับจังหวะดูว่าควรใส่เนื้อร้องเข้าไปตอนไหน นักร้องเน้นเสียงหนัก-เบายังไง เขาแบ่งจังหวะการหายใจยังไงเพื่อไม่ให้เหนื่อย หรือถ้าใครชอบดูโชว์ด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะจะได้เห็นทักษะการคุมไมค์ให้เข้ากับทิศทางเสียงของศิลปินที่เป็นประโยชน์ในการโชว์ของเราอีกด้วย

ฉลาดใช้คำ

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มแร็ปแล้วไม่ถนัดกับการฟรีสไตล์ (แร็ปสดแบบไม่มีบท) ก็จำเป็นต้องลองฝึกการเขียนไรม์ (Rhyme) หรือคำสัมผัสด้วยตัวเองเพื่อฝึกแร็ปในเบื้องต้นก่อน ซึ่งอาจใช้พื้นฐานง่ายๆ ด้วยการเขียนประโยคคล้ายกลอนแปดทีละ 1 บาร์ หรือ 1 ประโยคมาต่อกัน โดยให้คำสุดท้ายคล้องจองกัน เช่น

  • หน้าที่ชาวไทยเขาสอนให้ใช้สิทธิ์เคารพเสียง
  • แต่ทำไมตอนผมอธิบายผู้ใหญ่ต้องหาว่าเถียง
 

จากนั้นจึงใส่จังหวะให้กับไรม์ของเรา ซึ่งสามารถนับจังหวะเองหรือลองใช้จังหวะดนตรีสำเร็จรูปจากบีทต่างๆ ว่ามีคำที่ยาวเกินจะแร็ปได้ทันแล้วต้องตัดออกมั้ย หรือบาร์ไหนสั้นไปจนต้องเติมคำอื่นๆ เพื่อความสละสลวย โดยจะมีการทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบหนึ่งท่อนที่มักมีจะอย่างน้อย 16 บาร์

และถ้าใครเลือกแต่งไรม์ด้วยวิธีนี้ ควรแต่งไปพร้อมแร็ปเต็มเสียงไปด้วยทีละบาร์ให้รู้ว่าเราจะแบ่งจังหวะหายใจตรงไหนได้บ้าง เพื่อจะได้ลดหรือเพิ่มคำไปตั้งแต่เนิ่นๆ  เพราะถ้าแต่งไว้รวดเดียวทั้งท่อนแล้วเกิดมีคำที่เยอะเกินไปจนแร็ปไม่ทัน อาจทำให้ต้องตัดบาร์เด็ดๆ ที่เป็น Punchline ออกไปได้อย่างน่าเสียดาย

นอกจากนี้ การศึกษางานเขียน หรือแม้กระทั่งคำศัพท์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ยังเป็นการซึมซับสไตล์การใช้คำได้อย่างสร้างสรรค์ ที่ช่วยทำให้สมองของเรากลายเป็นคลังคำคมพร้อมใช้งาน สามารถงัดมุกเด็ด หรือศัพท์เท่ๆ ออกมาใช้ได้อย่างฉับไวอีกด้วย ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในการเขียนไรม์หรือแร็ปสดเชียวล่ะ

ออกเสียงชัด

หลังจากที่เราได้เปล่งวาจาคำไรม์คมๆ ของเราออกไปแล้ว แร็ปเปอร์ส่วนใหญ่มักพบว่าตัวเองมีปัญหาในการออกเสียงไม่ชัด ซึ่งอาจเป็นเพราะการออกเสียงยังไม่เต็มเสียง การรีบร้องให้ลงจังหวะเกินไป หรือหายใจไม่ทัน จนทำให้ใจความในการแร็ปต้องขาดตอนไป โดยสามารถแก้ไขด้วยการเขียนไรม์ที่บาร์นึงใช้คำไม่เยอะ แร็ปช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องตะโกน แล้วซ้อมให้แม่นขึ้นทีละ 4 บาร์ เพื่อให้ลิ้นไม่พันกัน

อย่าอ่อนซ้อม

นอกจากการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราเราแม่นยำในจังหวะในการแร็ปจนโฟลว์ (Flow) หรือแร็ปได้อย่างลื่นไหลแล้ว ยังสามารถสร้างความมั่นใจให้เราได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่เตรียมตัวจะไปแข่งขันหรือโชว์ในสถานที่ที่มีคนเยอะ บรรยากาศกดดัน ถ้าได้ทำการบ้านมาดีจะช่วยลดปัญหาการตื่นเวที ที่ถือเป็นข้อดีในการหาจังหวะเหมาะเพื่อหยอดลูกเล่นคำต่างๆ หรือ ฟลิป (Flip) ได้อย่างคมคาย รู้ตำแหน่งเคลื่อนไหวโยกย้ายร่างกายไปบนเวทีอย่างไม่เคอะเขิน และเรียกความสนใจจากคนดูได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

https://www.dek-d.com

https://entertainment.trueid.net

https://www.music24s.com

https://www.siamzone.com

https://www.creativethailand.org