east coast west coast

East Coast vs West Coast

 

วงการเพลงบ้านเราแม้ว่าจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีเรื่องอะไรใหญ่โตอะไร เอาแค่ฟ้องร้องก็ยังไม่มีเลย แต่หากเป็นในอเมริกาล่ะก็บางครั้งความเป็นอริกันในเส้นทางดนตรีนี่อาจจะถึงการฆ่าแกงกันเลยก็ได้ดั่งเช่นสงคราม East Coast Vs West Coast สงคราของแร๊พเปอร์ชื่อดังที่สุดท้ายกลายเป็นความสูญเสียทั้งสองฝ่าย

การเจอกันครั้งแรก

ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี 1993 ด้วยเรื่องของธุรกิจ เหตุเกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่ลอสแองเจลิส บิ๊กกี้ข้ามฝั่งมาที่ West Coast เพื่อติดต่องานกับพ่อค้ายาในท้องถิ่นของฝั่งนี้ ความบังเอิญคือทูพัคอยู่ที่นั่นด้วย คงเป็นเรื่องของความชื่นชมส่วนตัวที่ทำให้บิ๊กกี้ขอให้พ่อค้ายาคนนั้นช่วยแนะนำเขาให้กับทูพัคหน่อย

ด้วยเคมี ด้วยเวลาที่ใช่ จึงทำให้วันแรกหลังจากการพบกันเกิดวันต่อ ๆ มาขึ้น ทูพัคชวนบิ๊กกี้และเพื่อนของเขาให้มาที่บ้านส่วนตัวของตัวเอง การเจอกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจแต่เป็นเวลาของการปาร์ตี้ ถุงแช่แข็งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกัญชาของทูพัคถูกเปิดออกเพื่อการนี้โดยเฉพาะ “มันเป็นกัญชาที่เขียวที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย” Dan Smalls หนึ่งในเพื่อนของบิ๊กกี้หลุดปากทันทีที่ได้เห็นของ 

ภาพหลังจากนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาได้ high และรู้สึกพริ้มมากแค่ไหน สิ่งที่ทูพัคนำออกมาสังสรรค์ต่อจากนั้นคือหยิบกระเป๋าสไตล์ทหารที่เต็มไปด้วยปืนจริงข้างในออกมาเล่นกัน (แต่ไม่ได้ยิงจริง ๆ นะ) คืนนั้นจบด้วยการเข้าครัวแสดงฝีมือเชฟของทูพัคและมิตรภาพของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น

Thug Life

ถ้าบิ๊กกี้เข้ามาในแคลิฟอร์เนียเขาก็จะมาสังสรรค์และนอนที่บ้านทูพัค กลับกันเมื่อทูพัคเข้ามาในนิวยอร์กบิ๊กกี้ก็จะต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทั้งคู่สนิทกันมากโดยที่เราต้องขอเน้นย้ำคำว่า ‘มาก’ นั้นหมายความว่ามากจริง ๆ

เส้นทางชีวิตของทูพัค ณ เวลานั้น รุ่งโรจน์กว่าที่เราได้กล่าวไปในตอนแรกเยอะ เขากลายเป็นดาราฮอลลิวู้ดรุ่นใหม่ไฟแรง และแร็ปเปอร์เจ้าของยอดขายถล่มทลายบนตลาดเพลงโลก บิ๊กกี้ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปจากตรงนี้

ด้วยความหลงใหลในเพลงแร๊ปอยู่แล้วเมื่อมีคนเก่งอยู่ไกล้ตัวใครจะปล่อยโอกาสเรียนรู้นี้ให้ลุดมือไปล่ะใช่มั้ย? การกระทำของบิ๊กกี้ (และเหล่าเพื่อนผู้ติดตามของเขา) คือตามทูพัคไปที่ห้องอัดเสียงแล้วฟังวิธีการทำงาน การคิด ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นในหนึ่งเพลง เมื่อทูพัคเห็นถึงความตั้งใจนั้นจึงสอนบิ๊กกี้และเหล่าเพื่อนถึงวิธีการแต่งเพลงแร๊ปในแบบของเขา ในบรรดากลุ่มคนทั้งหมดในนั้นทูพัคให้ความสนใจกับบิ๊กกี้เป็นพิเศษ เขาไว้ใจบิ๊กกี้ขนาดที่ว่าให้ขึ้นไปเล่นในคอนเสิร์ตของเขาเลย ด้วยความผูกพันทำให้บิ๊กกี้บอกกับทูพัคว่าเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกว่า ‘Thug Life’ ของเขา

 

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บิ๊กกี้ได้รับข้อเสนอจาก Sean Puffy Combs ศิลปินจากค่ายซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการฮิปฮอปอย่าง ‘Uptown Records’ ผู้ที่กำลังวางแผนออกมาจากที่นั่นเพื่อเปิด ‘Bad Boy Records’ ค่ายของตัวเอง เขาเจอบิ๊กกี้จากเทปเดโม่ทำเองสมัยที่บิ๊กกี้ยังเป็นพ่อค้ายาอยู่ และแน่นอนว่าเขาถูกใจเสียงและถ้อยคำในนั้นเอามาก ๆ

แต่ใจของบิ๊กกี้อยากอยู่เป็นแร็ปเปอร์เคียงบ่าเคียงไหล่กับทูพัคจริง ๆ และเขาเป็นกังวลว่าค่ายที่พึ่งเปิดใหม่ของพัฟจะยังไม่พร้อมสำหรับเขา บิ๊กกี้จึงปรึกษาทูพัคถึงทางออกในเรื่องนี้ ส่วนคำตอบที่ได้กลับมาคือ “นายอยู่กับพัฟน่ะดีแล้ว เขาจะทำให้นายกลายเป็นที่โด่งดัง”

จากคำพูดนั้น บิ๊กกี้จึงเซ็นสัญญาเข้าไปอยู่กับพัฟ และออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Ready To Die ในปี 1994 พร้อมกับชื่อศิลปินว่า The Notorious B.I.G. กลายเป็นว่าบิ๊กกี้ทำให้ค่ายของพัฟกลายเป็นที่โด่งดังและจดจำมากที่สุดในซีนดนตรีฮิปฮอป 90s แต่เราเชื่อว่าตัวเขาเองคงผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่ทูพัคปฏิเสธอ้อม ๆ ไปอย่างนั้น

Invincible Man

ในช่วงปีระหว่างปลาย 1973 – 1974  มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ทำให้มิตรภาพของทั้งคู่เริ่มสั่นคลอน หนึ่งในคือการ ‘อ้าง’ ความผิดให้บิ๊กกี้ของทูพัค เรื่องเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ณ แมนฮัตตันคลับ ทูพัคได้เจอเด็กหญิงอายุ 19 ชื่อ Ayanna Jackson ในครั้งแรกพวกเขากลับห้องสูทในโรงแรมของทูพัคไปด้วยกันแล้วก็จบแค่นั้น แต่สี่วันหลังจากนั้นเธอก็มาหาเขาที่โรงแรมอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามพวกเขา (มีทูพัค ผู้จัดการ Haitian Jack และผู้ไม่ระบุนามอีกหลายคน) ข่มขืนเธอ

และเมื่อทุกอย่างจบลง เธอก็แจ้งตำรวจ พวกเขาทั้งหมดโดนข้อหาทารุณกรรมทางเพศและมีอาวุธผิดกฏหมายไว้ในครอบครอง แต่ทูพัคอ้างว่าอาวุธเหล่านั้นเป็นของบิ๊กกี้ นอกเหนือจากทูพัคแล้วทุกคนที่เหลือทุกส่งเข้าคุกหมด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว

Surprise Revenge

วันที่ 30 พฤศจิกายน 1994 ถ้าทุกอย่างจริงอย่างที่ทุกคนในเหตุการณ์วันนั้นพูด การแก้แค้นและแตกหักก็อยู่ตรงจุดนี้จริง ๆ  นั่นคือวันเดียวกันกับที่ทูพัคต้องไปอัดร้องรับเชิญให้กับเพลงของศิลปินที่ชื่อ Little Shawn จากคำเชิญของผู้จัดการของชอว์นอย่าง Henchman Rosemond ผู้สนิทสนมกับบิ๊กกี้และพัฟ (ซึ่งคงเป็นเหตุผลหลักที่ทูพัครับงานนี้)

ทูพัคมาที่ ‘Quad Recording Studios’ ในไทม์สแควร์ สถานที่นัดหมาย กับเพื่อร่วมงานอีกสามคน ไร้บอดี้การ์ดใด ๆ พอมาถึงก็รู้สึกประหลาดใจนิด ๆ เมื่อพบกับชายสามคนชั้นล่างของห้องอัดซึ่งแต่งตัวเหมือนกับทหารในเครื่องแบบเป๊ะ ๆ ที่มาพร้อมอาวุธปืน แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นบ้างกับเรื่องนี้เมื่อ Lil แรปเปอร์ในสังกัดของบิ๊กกี้มาตะโกนเรียก “ทุกคนอยู่ข้างบนแล้ว ขึ้นมาได้เลย”

ในขณะที่ทูพัคและเหล่าเพื่อนกำลังย่าวก้าวเพื่อจะขึ้นลิฟต์ไปอัดเสียงชั้นบนนั้น เหล่าทหารในเครื่องแบบที่ทูพัคโล่งใจว่าเป็นฝ่ายเดียวกันก็ออกคำสั่งให้พวกเขาทั้งหมดหมอบลงกับพื้น ด้วยสัญชาติญาณทูพัคเอื้อมมือคลำหาปืนพกที่เอาติดตัวมาด้วยเพื่อเตรียมปะทะ แต่ช้าไป …

ทูพัคและเพื่อน ๆ ถูกรุมกระทืบ ยิง และโขมยเหล่าเครื่องเพชรบนตัวของเขาไป สิ่งที่ทำให้พวกเขารอดตายมาได้คือการแกล้งตายอย่างเนียบเนียน จากนั้นเขาจึงพยายามขึ้นไปชั้นบนอีกเครื่องเพื่อขอความช่วยเหลือ เมือประตูลิฟต์เปิดออก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ บิ๊กกี้ พัฟ และเฮนช์แมน ทูพัครู้สึกว่าพวกเขามองมาหาตนด้วยสีหน้าประหลาดใจและรู้สึกผิด แต่สิ่งที่พัฟพูดออกมาหลังจากนั้นกลับดูขัดแย้งและเย้ยหยันกันมากกว่า “Nothing but love and concern” และนั่นทำให้ทูพัคค่อนข้างมั่นใจว่ากระสุน 5 นัดบนตัวเขาไม่ได้เกิดจากความบังเอิญของการปล้นจากพวกโจร แต่ทว่าทั้งหมดถูกจัดฉากไว้แล้วถึงแม้ว่าบิ๊กกี้กับพัฟจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม ในสายตาของทูพัคเขาเชื่อว่ากำลังโดนเพื่อนหักหลัง และความเชื่อใจที่ทูพัคเคยมีให้บิ๊กกี้ก็จบลงตรงนี้ “เขาเป็นหนี้ฉันมากกว่าที่จะเบือนหน้าหนีแล้วทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนั้น แกไม่รู้จริง ๆ เหรอไว้ใครยิงฉันคาบ้านเกิดของแก ฉันมั่นใจว่าไอคนนั้นมันต้องเป็นเพื่อนบ้านของแกแน่ ๆ”

Into The Jail With Himself

วันที่ 1 ธันวาคม 1994 กรรมที่ก่อไว้ย้อนมาเล่นงานทูพัค เมื่อศาลนำคดีของ Ayanna Jackson มาไต่สวนอีกครั้ง แม้จะเคยใช้เทคนิกพลิกแพลงรอดมาแล้วครั้งนี้ แต่ผลในครั้งนี้ปรากฏความจริงสู่สาธารณะว่าเขาผิดจริง และถูกสั่งจำคุกอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง สามารถประกันตัวได้ด้วยเงิน 3 ล้านเหรียญ

ณ ขณะที่ติดคุกอยู่นั้นทูพัคไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างไร เขาส่งข้อความไปหา Keisha Morris ภรรยา ณ เวลานั้นของเขา ให้ส่งข้อความไปหา Suge Knight (ผู้ก่อตั้งค่าย ‘Death Row Records’) เพื่อให้หาทนายเก่ง ๆ มาช่วยให้เขาหลุดออกไปให้ได้เพราะต้องรีบไปช่วยแม่ของเขาที่กำลังจะสูญเสียบ้านไป

ซูจ ส่งเงิน 15,000 ไปช่วยแม่ของทูพัค และยื่นข้อเสนอในแบบที่ไม่เคยยื่นให้ศิลปินคนไหนมาก่อน โดยเขาหาทนายมาช่วยทูพัคออกมา เพื่อให้ทูพัคตกลงมาเป็นศิลปินใน Death Row Records ซูจชักจูงทูพัคอ้อม ๆ และเสนอที่อยู่ใหม่ในครอบครัวที่ทรงพลังและไร้การควบคุมที่สุดของฮิปฮอป

Behind The Scene

เดือนสิงหาคม 1995 ทูพัคยังคงติดอยู่ข้างในคุก หลังจากที่ซูจไปเยี่ยมเขาในเดือนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าซูจกำลังคิดอะไรอยู่หรือมีแรงจูงใจอะไร เขาเริ่มรุกโจมตีพัฟกับบิ๊กกี้ที่อยู่ฝั่ง East Coast ทั้งบลัฟว่าค่ายห่วยแตกแบบนั้นใครจะไปอยู่ มาอยู่กับ Death Row ดีกว่า มิหนำซ้ำยังเคยชวนชวนบิ๊กกี้ให้มาทำการแสดงที่ Club 662 ซึ่งอยู่ในฝั่งของตัวเอง แต่โชว์กลับไม่เคยเกิดขึ้นจริงใด ๆ เป็นเพราะการแก้แค้นให้ฝั่งเดียวกันอย่างทูพัคเหรอ?

ถ้าพูดอย่างนั้นก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเยี่ยมทูพัค ณ เดือนสิงหาคมของซูจ คือบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เกลียดชังของทูพัค “ผมต้องการจะทำลาย Bad Boy Records ผมเชื่อว่าเขามีส่วนกับเหตุการณ์ตอนที่ผมถูกยิง” ซูจสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อเขาและรับปากว่าศัตรูของทูพัคก็จะเป็นศัตรูของเขาเช่นเดียวกัน หลังจากปีนั้น West Coast กับ East Coast ก็กลายเป็นศัตรูกันโดยสมบูรณ์

Gone Forever With Fire

ทูพัคถูกยิงอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 1996 ในลอสแองเจลลิสหลังจากที่ดูการชกของ Mike Tyson จบ และเสียชีวิตในหกวันถัดมาในโรงพยาบาล ด้วยวัยเพียง 25 ปี และในวันที่ 9 มีนาคมของปีถัดมา บิ๊กกี้ก็ถูกยิงในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านหลังจากไปปาร์ตี้ในลอสแองเจลลิสมา เขาเสียชีวิตทันทีในวัย 24 ปี ซึ่งเป็นช่วงห่างของอายุที่เท่ากับตอนที่ทั้งคู่เกิดและได้รู้จักกันเลย 

การที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้ทำให้ความแค้นของทั้งสองฝั่งยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะจากไปแล้วก็ตาม ยืนยันได้จากเหตุการณ์เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ที่ Snoop Dogg กับ The Game สองศิลปินตัวแทนจากฝั่ง West Coast ออกมาจัดงานมีตติ้งประชุมกับเหล่า gangster ในแอลเอเพื่อหาทางออกที่จะยุติความรุนแรงของทั้งสองฝั่ง ซึ่งงานในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกจัดขึ้น ในปี 1997 สนู๊ปเคยเป็นแกนนำจัดสุดยอดการประชุมที่มีเป้าหมายเพื่อหยุดความรุนแรงในสังคมดนตรีแร็ปทั่วโลกมาแล้ว โดยมีพัฟเป็นแกนนำร่วมด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งดูจะมีความหวังขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่การประชุมครั้งนั้น และเราก็หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนรักอย่างทูพัคกับบิ๊กกี้จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกครั้ง

สรุป

จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง

จะว่าไปทั้ง Tupac และ Biggie นั้นเอาเข้าจริงแล้วพวกเค้าต่างก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน ทั้งคู่ต่างเป็นคนหนุ่มที่มีพื้นเพชีวิตคล้ายคลึงกัน(ขาดพ่อ) มีความฝันอย่างเดียวกัน(การเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง) และต้องใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบมาไม่แตกต่างกันมาก พวกเค้าเจอกันช่วงที่ยังไม่ดังเท่าไรแล้วก็สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา พวกเค้าทั้งคู่รู้สึกจูนกันได้เร็วมากหลังจากการพบกันพวกเค้ายังได้ไปมาหาสู่กันตลอดเวลา

ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยนแปลง

จากความสัมพันธ์อันดีของทั้งคู่ ต่างเปลี่ยนไปจากหลายเหตุการณ์ หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญนั่นคือ ทูพัค โดนลอบยิงจากกลุ่มชายนิรามในอาคารห้องอัดเสียงที่ บิ๊กกี้มาอัดเสียงในวันนั้นพอดี จนทำให้ทูพัคเชื่อว่า บิ๊กกี้คือผู้อยู่เบื้องหลังครั้งนี้ ยังไม่พอหลังจากนั้น ทูพัค โดนคดีข่มขื่นผู้เยาว์คนหนึ่งทำให้เค้าต้องเข้าไปในคุกด้วยความช่วยเหลือของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ทูพัค จึงได้ออกมาเร็วกว่ากำหนดแต่ก็ต้องแลกกับงานเพลงกับต้นสังกัดใหม่ ทีนี้เมื่อออกมาได้แล้ว ทูพัค ก็เริ่มก่อสงครามระหว่าง East Coast Vs West Coast ซึ่งสงครามดำเนินไปอย่างดุเดือด มีการตอบโต้ทางสื่อ ทางงานเพลงกันเรื่อยมา จนกระทั่ง ทูพัค โดนลอบยิงบนถนน ส่วน บิ๊กกี้เอง ก็โดนยิ่งถล่มบนถนนอีกเช่นกัน ช่างเป็นบทส่งท้ายของสงครามครั้งนี้อย่างน่าเศร้าที่สุด

East Coast Rap                                   

  • มีสภาพแวดล้อมที่ยากจนและอาชญากรรม
  • แสดงตัวอย่างดนตรีแจ๊ส แสดงตัวอย่างฉุน
  • เพลงที่หนักหน่วงหรือดุดันที่มีดีเจและพิธีกร
  • ตัวอย่างของแร็ปเปอร์ ได้แก่ Nas, Mobb Deep, Gang Starr และ Biggie

West Coast Rap

  • มีชีวิตของแก๊งค์หรือสภาพแวดล้อมที่ต่อต้านตำรวจ
  • เพลงสบาย ๆ
  • ตัวอย่าง Tupac, Snoop Dogg และ Dr. Dre

EAST COAST RAP กับ WEST COAST RAP

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง East Coast และ West Coast Rap แล้ว? การมองอย่างใกล้ชิดในสภาพแวดล้อมที่แสดงโดยดนตรีความรู้สึกที่สร้างขึ้นและตัวอย่างที่ใช้สามารถเปิดเผยความแตกต่างได้อย่างง่ายดาย

เพลงแร็พฝั่งตะวันตกมีตัวอย่างฟังก์ในขณะที่แร็พชายฝั่งตะวันออกมีตัวอย่างแจ๊ส ในขณะที่ชายฝั่งตะวันตกฟังดูผ่อนคลายกว่าชายฝั่งตะวันออกฟังดูไพเราะกว่า ด้วยเหตุนี้การแร็พฝั่งตะวันตกจึงฟังดูชิลล์และมีดนตรีมากขึ้นโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดการรวบรวมข้อมูลเชื้อชาติความโหดร้ายของตำรวจและคำแสลง ในทางกลับกันการแร็พชายฝั่งตะวันออกฟังดูยากและมีพิธีกรและดีเจหลายคนเล่น เพลงแร็พชายฝั่งตะวันออกมีความเฉลียวฉลาดเล่นลิ้นและอุปมาอุปมัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุผลทางสังคมการเมืองหรือเพียงเพื่อความบันเทิง

สองหมวดหมู่นี้มีสภาพแวดล้อมในดนตรีโดยเฉพาะชีวิตในเมืองใหญ่ ๆ ของนิวยอร์กกับลอสแองเจลิส ซึ่งหมายความว่าการแร็พฝั่งตะวันตกทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับแก๊งมากขึ้น ดนตรีเน้นไปที่ไลฟ์สไตล์ต่อต้านตำรวจ แร็ปเปอร์ส่วนใหญ่ในชายฝั่งตะวันตกเติบโตมาในชีวิตที่เหมือนแก๊งที่พวกเขาติดอยู่และเพลงต่างก็ยกย่องให้เป็นวิธีการทำสิ่งที่ดีที่สุดสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของการเติบโตในสภาพแวดล้อมนี้

ในทางตรงกันข้ามการแร็พชายฝั่งตะวันออกให้ความสำคัญกับชีวิตที่อาศัยอยู่ในความยากจนและอาชญากรรม แร็ปเปอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตเพลงโคลงสั้น ๆ ที่จริงใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขาในสภาพแวดล้อมนี้ แร็ปเปอร์ชายฝั่งตะวันออกแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ถักแน่นซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการใช้คำแสลง

อ้างอิงข้อมูลจาก

https://www.fungjaizine.com

https://th.natapa.org

https://www.projecthiphop.org

https://frozilla.net